เมื่อได้รับหมายศาล คนทั่วไปย่อมเครียด กังวล และไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
1. ตั้งสติ อ่านคำฟ้อง รายละเอียดให้เข้าใจ ว่าถูกฟ้องข้อหาใด ข้อเท็จจริงตามฟ้องเป็นอย่างไร ศาลนัด
ไต่สวนมูลฟ้องเมื่อใด
2. พยายามนึกถึงเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น จดบันทึกเหตุการณ์ และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เป็น
ประโยชน์ต่อรูปคดี เช่น ข้อความในสื่อโซเชียลมีเดีย Line Facebook E-mail กล้องวงจรปิด ภาพถ่าย พยานบุคคล พยานวัตถุต่างๆที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับคดี หากแน่ใจว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานเกี่ยวกับที่อยู่ ณ เวลาเกิดเหตุตามฟ้องโจทก์ ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมากในบางฐานความผิด เช่น ฉ้อโกง ยักยอก ทำร้ายร่างกาย ลักทรัพย์
3. รีบปรึกษาทนายความ โดยเฉพาะหากมั่นใจว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ และต้อง
บอกความจริงแก่ทนายความ ไม่ปกปิดข้อเท็จจริงหรือกล่าวความเท็จ เพราะยิ่งทนายความรับทราบข้อเท็จจริงละเอียดเพียงใด ย่อมสามารถปรับเข้ากับข้อกฎหมาย และหาช่องทางในการต่อสู้คดีได้
4. ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง นัดแรกเรียกว่า นัดไต่สวนมูลฟ้อง นัดนี้กฎหมายถือว่าจำเลยยัง
ไม่อยู่ในฐานะจำเลยจนกว่าศาลจะประทับรับฟ้องโจทก์ แม้จำเลยไม่มีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบ แต่มีสิทธิแต่งตั้งทนายความถามค้านพยานโจทก์ได้โดยจำเลยไม่จำเป็นต้องไปศาล ศาลอาจมีคำสั่งในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดมาฟังคำสั่งภายหลัง
5. ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยมีสิทธิแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาล
ควรสั่งว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล และจะระบุพยานบุคคลหรือพยานวัตถุที่จะสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำแถลงด้วยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165/2 ซึ่งการยื่นคำแถลงนี้ต้องอาศัยทนายความ การยื่นคำแถลงนี้ หากศาลเห็นด้วยกับคำแถลงของจำเลย ย่อมส่งผลให้ศาลไม่ประทับรับฟ้องโจทก์ คดีย่อมยุติ ส่งผลดีต่อจำเลย
6. เมื่อศาลประทับรับฟ้องโจทก์แล้ว จำเลยต้องเตรียมหลักทรัพย์เพื่อประกันตัวต่อศาล โดยสอบถาม
วงเงินประกันตัวได้ที่ประชาสัมพันธ์ของศาลแต่ละศาล
7. เมื่อศาลประทับรับฟ้องโจทก์แล้ว ศาลจะนัดสอบคำให้การจำเลย นัดนี้จำเลยต้องไปศาล เบื้องต้น
บางฐานความผิด เช่น หมิ่นประมาท ยักยอก ฉ้อโกง ศาลอาจให้คู่ความเจรจาไกล่เกลี่ยกันก่อน หากไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ก่อนเริ่มพิจารณาคดีสิทธิของจำเลย คือ การมีทนายแก้ต่างให้ หากจำเลยยังไม่มีทนายความ
7.1 ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ให้ศาลตั้งทนายความให้จำเลย
7.2 ในคดีที่มีโทษจำคุก หากจำเลยต้องการทนายความ ให้ศาลตั้งทนายความให้จำเลยเช่นกัน
ศาลจะอ่านฟ้องให้จำเลยฟัง สอบถามจำเลยว่าจะให้การต่อสู้หรือไม่ หากจำเลยไม่มาศาลในนัดนี้ จะถือว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี ศาลจะออกหมายจับจำเลย
8. คดีอาญาก็สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ ในคดีความผิดต่อส่วนตัวที่เป็นคดียอมความกันได้นั้น หาก
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ศาลจะเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป เพื่อให้โอกาสจำเลย เมื่อจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจแก่โจทก์ โจทก์จะถอนฟ้อง คดีเป็นอันสิ้นสุดลง
9. จะต้องไปศาลกี่ครั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าคู่ความแต่ละฝ่ายจะนำพยานเข้าสืบมากน้อยเพียงใด โดยศาลจะ
นัดสืบพยานต่อเนื่องซึ่งต้องเข้าคิวตามที่ศาลว่าง บางศาลอาจได้สืบพยานภายใน 6 เดือน บางศาลอาจนัดสืบพยานกันข้ามปี
10. เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยต้องเตรียมหลักทรัพย์เพื่อประกันตัว
ระหว่างอุทธรณ์ต่อไป
11. ดังนั้น เมื่อตกเป็นจำเลยในคดีอาญา อย่างแรกที่ควรทำคือ หาทนายความเพื่อช่วยแก้ต่างคดี เพราะ
ทนายความย่อมรู้ข้อกฎหมายและช่องทางต่อสู้คดี การไปศาลด้วยตนเอง โดยไม่รู้ข้อกฎหมายหรือกระบวนการในศาล อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อรูปคดีได้